ฟิล์มกรองแสงรถยนต์ หนึ่งในอุปกรณ์รถยนต์เป็นมากกว่าเครื่องป้องกันภัย เพราะยังช่วยให้การขับขี่ตลอดระยะทางนั้นสนุกมากยิ่งขึ้น ทั้งช่วยเรื่องของความเป็นส่วนตัว ความเย็นภายในห้องโดยสาร และป้องกันอันตรายของรังสีต่าง ๆ จากแสงอาทิตย์
แต่เมื่อเวลาผ่านไป … แน่นอนว่าไม่มีอะไรคงทนตลอดกาล เช่นเดียวกับฟิล์มกรองแสงรถยนต์ และส่วนประกอบอื่น ๆ ของรถยนต์ ดังนั้นคุณสมบัติดังกล่าวก็อาจจะลดความสนุกของการขับขี่ จนอาจกลายเป็นอันตรายต่อการขับขี่แทนก็เป็นได้ เพราะฟิล์มที่ใช้มานานแล้ว หมดสภาพ ประสิทธิภาพลดลง และเป็นอันตรายต่อการขับขี่อีกด้วย
แต่เมื่อไหร่ที่จะทำให้รู้ว่าถึงเวลาแล้วล่ะ “ถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนฟิล์มกรองแสงรถยนต์แล้ว!” คำตอบก็คือ จริง ๆ มีหลายปัจจัยที่ทำให้แผ่นฟิล์มเสื่อมสภาพ ดังนั้นเราควรเข้าใจสัญญาณของฟิล์มกรองแสงเพื่อจะได้เปลี่ยนในช่วงเวลาที่เหมาะสมมากที่สุด
โดยปกติแล้ว ฟิล์มกรองแสงที่ได้รับมาตรฐานจะมีอายุการใช้งานเฉลี่ย 5 ปี แต่อย่างไรก็ตาม ฟิล์มคุณภาพสูงที่ทำจากโลหะ เซรามิก และโพลีเอสเตอร์เกรดสูงสามารถอยู่ได้นานถึง 10 ปี
และแน่นอนว่าอายุการใช้งานของฟิล์มกรองแสงจะลดลงตามกาลเวลา หากมีการบำรุงรักษาไม่ถูกต้อง การดูแลสีที่ไม่เหมาะสมอาจทำให้คุณภาพของสีเปลี่ยนไปและทำให้ไม่สามารถปกป้องได้ดีที่สุด
ใคร ๆ ก็อยากขับรถในห้องโดยสารที่เย็นสบายกันทั้งนั้น แถมยังป้องกันรังสีต่าง ๆ จากดวงอาทิตย์ด้วย แต่เมื่อเวลาผ่านไปนาน ๆ ใช่ว่าฟิล์มกรองแสงจะมอบความสบายนี้แก่ผู้โดยสารตลอดไป
หากเริ่มรู้สึกว่าอุณหภูมิภายในรถแตกต่างไปจากเดิม หรือเครื่องปรับอากาศไม่เย็นแล้ว แสดงว่าฟิล์มกรองแสงเสื่อมสภาพและจำเป็นต้องเปลี่ยนใหม่ เพื่อความปลอดภัยในการขับขี่ และปกป้องเครื่องภายในรถของคุณด้วย
หากคุณเริ่มรู้สึกว่ากระจกที่มองท้องถนนทุกวัน เริ่มมัว หรือมีผลต่อทัศนวิสัยในการขับขี่ นี่คงเป็นสัญญาณที่บ่งบอกได้มากที่สุดแล้วว่า ถึงเวลาเปลี่ยนฟิล์มกรองแสง
ฝุ่น รอยนิ้วมือ ควันจากพื้นถนน หรือปัจจัยอื่น ๆ อาจทำให้การมองเห็นของคุณลดลงเป็นครั้งคราว แต่มีอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้การมองเห็นของคุณลดลงตลอดไป นั่นคือ คุณภาพของฟิล์มกรองแสง เนื่องจากอายุการใช้งานที่นานเกินไป จึงทำให้กาวติดฟิล์มแข็งและตกผลึกได้ และหากแผ่นฟิล์มไม่ชัดเจนนั้น อาจเป็นอันตรายต่อความปลอดภัยในการขับขี่ที่ใหญ่เลยนะ
ฟองอากาศที่เกิดขึ้นนั้น ถือเป็นสัญญาณที่บ่งบอกอย่างชัดเจนแล้วว่าฟิล์มกรองแสงเริ่มหมดอายุ โดยเกิดมาจากการที่กาวของแผ่นฟิล์มค่อย ๆ ลอก (เนื่องจากแสงแดด) จนทำให้บางส่วนของแผ่นฟิล์มแยกตัวออกจากกระจก และเกิดเป็นฟองอากาศ
ฟองอากาศนั้นจะทำให้การขับขี่ไม่สบายตา เป็นสิ่งที่รบกวนการขับขี่อย่างมาก นอกจากนี้ยังลดประประสิทธิภาพการทำงานของฟิล์มกรองแสงอีกด้วย ดังนั้นหากเห็นฟองอากาศเกิดขึ้นที่กระจกรถยนต์ ก็คงถึงเวลาเปลี่ยนใหม่ ได้แล้ว
โดยทั่วไปแล้ว สีของแผ่นฟิล์มกรองแสงจะเปลี่ยนแปลงไปตามช่วงอายุ เนื่องจากการสัมผัสกับรังสี และแสงแดดเป็นเวลานาน จึงทำให้โทนสีของแผ่นฟิล์มเริ่มจางลง จนกลายเป็นสีเทา หรือม่วงอ่อน ๆ ก็ได้ และหากยิ่งใช้ฟิล์มที่มีคุณภาพต่ำ ก็จะยิ่งทำให้สียิ่งเพี้ยนและเกิดขึ้นเร็วกว่าเดิมด้วยนะ
สีที่เปลี่ยนแปลงไปอาจจะไม่ได้มีผลต่อการขับขี่มากขนาดนั้น แต่แน่นอนว่าจะมีผลต่อภาพลักษณ์ของรถยนต์และผู้ขับขี่เอง
ในขณะที่ขับรถยนต์ แล้วคุณได้กลิ่นแปลก ๆ ที่ไม่ใช่มากจาก พรม เบาะ หรือแอร์ นั่นคือสัญญาณเตือนที่เริ่มอันตรายแล้ว เพราะนั่นคือ กลิ่นจากฟิล์มกรองแสงรถยนต์ที่หมดอายุแล้วนั่นเอง โดยกลิ่นนี้มาจากคราบกาว และเศษฟิล์มที่หมดอายุ ซึ่งหากปล่อยไว้นานกว่านี้ อาจจะทำให้กระจกรถยนต์เสียได้
หลายคนคงคิดว่า ต้องรอให้ฟิล์มมีภาพมัวก่อน เพราะเป็นอันตรายต่อการขับขี่มากที่สุด แต่ในความจริงแล้วหากรอจนให้ฟิล์มเสื่อมสภาพไปมากกว่านี้ อาจะทำให้ฟิล์มเปราะบาง และลอกออกยากมากยิ่งขึ้นก็เป็นไปได้ ซึ่งจำเป็นต้องขูดออก และจะมีผลต่อกระจกรถยนต์โดยตรง ดังนั้นเพื่อเป็นการป้องกันอันตรายในการขับขี่ และปกป้องรถยนต์ คุณควรรีบเปลี่ยนแผ่นฟิล์มกรองแสงทันที เมื่อมีหนึ่งในสัญญาณเตือนดังกล่าว
– เลือกใช้น้ำยาทำความสะอาดที่ปราศจากแอมโมเนีย หรือเช็ดด้วยผ้าไมโครไฟเบอร์ เพื่อหลีกเลี่ยงการขีดข่วนหรือความเสียหายอื่นๆ ต่อพื้นผิวรถยนต์
– หากจอดรถเป็นเวลานาน ควรเลือกสถานที่ที่มีร่ม เพื่อหลีกเลี่ยงแสงแดด
– ใช้ฟิล์มกรองแสงที่มีคุณภาพ และติดตั้งฟิล์มกรองแสงด้วยช่างผู้เชี่ยวชาญ น่าเชื่อถือ
ทางที่ดีที่สุดคือ ‘การเปลี่ยนฟิล์มกรองแสงรถยนต์’ ให้เร็วที่สุด และเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพมากที่สุด ก็ควรเลือกฟิล์มกรองแสงรถยนต์ที่ได้รับมาตรฐานอย่าง 3M ที่เป็นผู้นำนวัตกรรมด้านฟิล์มกรองแสง และได้รับความไว้วางใจจากผู้ใช้งานทั่วโลก โดยสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม หรือเลือกซื้อสินค้าคุณภาพได้ที่ https://pkproklasse.com/